เมนู

เธอจงฟัง จงใส่ใจให้ดีเถิด เราจักกล่าว ภิกษุพวกนั้นทูลรับพระผู้มี
พระภาคเจ้า
แล้ว.
[59] พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย กาย
นี้ของคนพาล ผู้ถูกอวิชชาใดหุ้มห่อแล้ว และประกอบแล้วด้วยตัณหาใด
เกิดขึ้นแล้ว อวิชชานั้น คนพาลยังละไม่ได้ และตัณหานั้นยังไม่สิ้นไป
ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะคนพาลไม่ได้ประพฤติพรหมจรรย์ เพื่อความ
สิ้นทุกข์โดยชอบ เหตุนั้น เมื่อตายไปคนพาลย่อมเข้าถึงกาย เมื่อเข้าถึง
กาย ชื่อว่ายังไม่พ้นจากชาติ ชรา มรณะ โสกปริเทวทุกขโทมนัสและ
อุปายาส เรากล่าวว่า ยังไม่พ้นไปจากทุกข์ กายนี้ของบัณฑิตผู้ถูกอวิชชา
ใดหุ้มห่อแล้ว และประกอบด้วยตัณหาใด เกิดขึ้นแล้ว อวิชชานั้น
บัณฑิตละได้แล้ว และตัณหานั้นสิ้นไปแล้ว ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะว่า
บัณฑิตได้ประพฤติพรหมจรรย์ เพื่อความสิ้นทุกข์โดยชอบ เหตุนั้น เมื่อ
ตายไป บัณฑิตย่อมไม่เข้าถึงกาย เมื่อเขาไม่เข้าถึงกาย ชื่อว่าย่อมพ้นจาก
ชาติ ชรา มรณะ โสกปริเทวทุกขโทมนัสและอุปายาส เรากล่าวว่า
ย่อมพ้นจากทุกข์ อันนี้เป็นความแปลกกัน อันนี้เป็นอธิบาย อันนี้เป็น
ความต่างกันของบัณฑิตกับคนพาล กล่าวคือ การอยู่ประพฤติพรหมจรรย์.
จบพาลบัณฑิตสูตรที่ 9

อรรถกถาพาลบัณฑิตสูตรที่ 9



ในพาลบัณฑิตสูตรที่ 9 พึงทราบวินิจฉัยดังต่อไปนี้.
บทว่า อวิชฺชานีวรณสฺส ได้แก่ถูกอวิชชากางกั้น. บทว่า
เอวมยํ กาโย สมุทาคโต ความว่า กายนี้ ชื่อว่า เกิดขึ้นแล้ว เพราะ

ถูกอวิชชากางกั้น และเพราะประกอบด้วยตัณหานั่นเอง ด้วยอาการอย่าง
นี้. บทว่า อยญฺเจว กาโย ได้แก่กายที่มีวิญญาณของตน ของคน
พาลนั้น นี้. บทว่า พหิทฺธา จ นามรูปํ ได้แก่และกายที่มีวิญญาณ
ของคนเหล่าอื่นภายนอก. ข้อความนี้พึงแสดงด้วยขันธ์ 5 และอายตนะ 6
ทั้งของตนและคนอื่น. บทว่า อิตฺเถตํ ทฺวยํ ได้แก่หมวดสองนี้. ด้วย
อาการอย่างนี้. ด้วยบทว่า ทฺวยํ ปฏิจฺจ ผสฺโส นี้ ท่านกล่าวจักษุสัมผัส
เป็นต้น เพราะอาศัยอายตนะทั้งสองฝ่าย มีจักษุและรูปเป็นต้น ไว้ใน
ที่อื่น แต่ในที่นี้ท่านหมายอายตนะภายในและอายตนะภายนอก นัยว่า
อายตนะทั้งสองฝ่าย ชื่อว่า ใหญ่ทั้งสอง. บทว่า สเฬวายตนานิ ได้แก่
ผัสสายตนะ คือเหตุแห่งผัสสะ 6. บทว่า เยหิ ผุฏฺโฐ ได้เเก่ถูกผัสสะอัน
เกิดขึ้นเพราะอายตนะซึ่งเป็นตัวเหตุเหล่าใด ถูกต้อง. ในบทว่า อญฺญตเรน
นี้ พึงทราบอายตนะอื่นๆ ที่บริบูรณ์และไม่บริบูรณ์. บทว่า ตตฺร ได้แก่ใน
เพราะการเกิดขึ้นแห่งกายเป็นต้น ของคนพาลและบัณฑิตนั้น. บทว่า
โก อธิปฺปายโส ได้แก่คืออะไรเป็นความพยายามอย่างยิ่ง.
บทว่า ภควํมูลกา ได้แก่พระผู้มีพระภาคเจ้าเป็นมูลแห่งธรรม
เหล่านั้น เหตุนั้น ธรรมเหล่านั้น ชื่อว่า ภควํมูลกา. ท่านกล่าวอธิบาย
ไว้ดังนี้ว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ธรรมของพวกข้าพระองค์เหล่านั้น อัน
พระกัสสปสัมมาสัมพุทธเจ้าในปางก่อนทรงให้บังเกิดขึ้น เมื่อพระองค์
เสด็จปรินิพพานแล้ว ล่วงไปพุทธันดรหนึ่ง คนอื่นจะเป็นสมณะก็ตาม
พราหมณ์ก็ตาม ชื่อว่า สามารถจะให้ธรรมเหล่านี้เกิดขึ้น มิได้มีเลย
แต่ธรรมเหล่านี้ อันพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงให้เกิดขึ้นแก่ข้าพระองค์
ทั้งหลาย. เพราะอาศัยพระผู้มีพระภาคเจ้า พวกข้าพระองค์จึงมารู้ คือ

แทงตลอดธรรมเหล่านี้ เพราะเหตุนั้น ธรรมของพวกข้าพระองค์จึงชื่อว่า
มีพระผู้มีพระภาคเจ้าเป็นมูล ด้วยประการฉะนี้. บทว่า ภควํเนตฺติกา
ความว่า ก็พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแนะ ได้แก่แนะนำธรรมทั้งหลาย
คือระบุชื่อธรรมะ เฉพาะอย่าง ๆ ตามสภาพความเป็นจริงแสดง เพราะ
เหตุนั้น ธรรมทั้งหลายจึงชื่อว่ามีพระผู้มีพระภาคเจ้าเป็นผู้แนะนำ. บทว่า
ภควํปฏิสรณา ความว่า ธรรมที่เป็นไปในภูมิ 4 เมื่อมาปรากฏแก่พระ
สัพพัญญุตญาณ ชื่อว่า ย่อมรวมลงในพระผู้มีพระภาคเจ้า เพราะเหตุ
นั้น ธรรมเหล่านั้น จึงชื่อว่า มีพระผู้มีพระภาคเจ้าเป็นที่รวมลง.
บทว่า ปฏิสรนฺติ ได้แก่ ย่อมประชุม. อีกอย่างหนึ่ง ผัสสะมาด้วย
อำนาจการแทงตลอดแห่งพระผู้มีพระภาคเจ้า ผู้ประทับนั่ง ณ โพธิมัณฑ-
สถาน ทูลถามว่า ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า ข้าพระองค์ชื่ออะไร.
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า เธอชื่อผัสสะ เพราะอรรถว่าถูกต้อง.
เวทนา. . . สัญญา. . . สังขาร. . . วิญญาณ. . . ก็มาทูลถามว่า ข้าแต่
พระผู้มีพระภาคเข้า ข้าพระองค์ชื่ออะไร พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า
เธอชื่อวิญญาณ เพราะอรรถว่า รู้แจ้ง พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงระบุชื่อ
ธรรมที่เป็นไปในภูมิ 4 เฉพาะอย่าง ๆ ตามสภาพความเป็นจริง รวม
ธรรมทั้งหลายไว้ด้วยอาการอย่างนั้น เหตุนั้น ธรรมเหล่านั้นชื่อว่า ภควํ-
ปฏสรณา.
บทว่า ภควนฺตํเยว ปฏิภาตุ ความว่า เนื้อความแห่ง
ภาษิตนั้น จงปรากฏ (เเจ่มแจ้ง ) แก่พระผู้มีพระภาคเจ้าทีเดียว
อธิบายว่า ขอพระองค์โปรดตรัสแสดงธรรม แก่พวกข้าพระองค์เถิด.
ในคำว่า สา เจว อวิชฺชา นี้ พึงทราบวินิจฉัยดังต่อไปนี้.
อวิชชาและตัณหานั้น แม้ยังกรรมให้แล่นไป ชักปฏิสนธิมาแล้ว

ดับไปก็จริง ถึงอย่างนั้น ท่านก็กล่าวคำนี้ว่า สา เจว อวิชชา สา เจว
ตณฺหา
ไว้แม้ในที่นี้ เพราะอรรถว่า เห็นสมกัน เหมือนเภสัชที่ดื่ม
วันวาน แม้วันนี้บริโภคโภชนะเข้าไป เภสัชนั้นก็ยังเรียกว่า เภสัชนั่นเอง
ฉันนั้น. บทว่า พฺรหฺมจริยํ ได้แก่มรรคพรหมจรรย์. บทว่า
ทุกฺขกฺขยาย ได้แก่เพื่อความสิ้นไปแห่งวัฏทุกข์. บทว่า กายูปโค
โหติ
ได้แก่เป็นผู้เข้าถึงปฏิสนธิกายอื่น. ด้วยบทว่า ยทิทํ พฺรหฺมจริย-
วาโส
นี้ ท่านแสดงว่า มรรคพรหมจริยวาสนี้ใด. นี้คือความแปลกกัน
ของบัณฑิตจากคนพาล. ดังนั้นในพระสูตรนี้ ท่านจึงเรียกว่าปุถุชนผู้ยัง
มีปฏิสนธิทั้งหมดว่า เป็นคนพาล พระขีณาสพผู้ไม่มีปฏิสนธิ เรียกว่า
เป็นบัณฑิต. ส่วนพระโสดาบัน พระสกทาคามี และพระอนาคามี ใครๆ
ไม่ควรเ รียกว่า บัณฑิต หรือคนพาล. แต่เมื่อคบ ก็คบแต่ฝ่ายบัณฑิต.
จบอรรถกถาพาลบัณฑิตสูตรที่ 9

10. ปัจจยสูตร



ว่าด้วยธรรมที่อาศัยกันเกิดขึ้น



[60] พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ พระเชตวัน อาราม
ของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี กรุงสาวัตถี. พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัส
ว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราจักแสดงปฏิจจสมุปบาท และธรรมที่อาศัย
กันเกิดขึ้นแก่พวกเธอ พวกเธอจงฟังธรรมนั้น จงใส่ใจให้ดีเถิด เรา
จักกล่าว ภิกษุเหล่านั้นทูลรับพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้ว.
[61] พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็